ความแตกต่างของ Heat Detector: Rate of Rise vs Fixed Temperature vs Combination ที่คุณต้องรู้

 

Heat Detector หรืออุปกรณ์ตรวจจับความร้อน เป็นส่วนสำคัญในระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับอาคาร แต่คุณรู้หรือไม่ว่า Heat Detector มีหลายประเภท แต่ละประเภทมีการทำงานที่แตกต่างกัน?

 

Heat Detector แบบ Rate of Rise คืออะไร?

 

Rate of Rise Heat Detector เป็นอุปกรณ์ที่ตรวจจับอัตราการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในพื้นที่ โดยจะทำงานเมื่อ:

– อุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าค่าที่กำหนด

– เหมาะสำหรับพื้นที่ที่อุณหภูมิปกติค่อนข้างคงที่

– สามารถตรวจจับเพลิงไหม้ได้รวดเร็วในกรณีที่ไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว

 

ข้อดีของ Rate of Rise Heat Detector

  1. ตอบสนองเร็วต่อการเพิ่มขึ้นของความร้อนแบบฉับพลัน
  2. ลดโอกาสการแจ้งเตือนผิดพลาดจากอุณหภูมิสูงแบบค่อยเป็นค่อยไป
  3. เหมาะกับพื้นที่ที่มีอุณหภูมิแวดล้อมปกติไม่สูงมาก

 

Heat Detector แบบ Fixed Temperature ทำงานอย่างไร?

 

Fixed Temperature Heat Detector เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานเมื่อ:

– อุณหภูมิในพื้นที่สูงถึงจุดที่กำหนดไว้ (เช่น 57°C หรือ 78°C)

– ไม่สนใจอัตราการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ

– มักใช้ในพื้นที่ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว

 

ข้อดีของ Fixed Temperature Heat Detector

  1. การทำงานที่แน่นอนและคงที่
  2. เหมาะกับพื้นที่ที่มีความร้อนหรือไอร้อนเป็นปกติ

Heat Detector แบบ Combination (Rate-of-Rise and Fixed Temperature)

 

Combination Heat Detector เป็นอุปกรณ์ที่รวมความสามารถของทั้ง Rate of Rise และ Fixed Temperature ไว้ในตัวเดียวกัน ทำให้ได้ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีที่สุด

 

การทำงานของ Combination Heat Detector

  1. **ระบบ Rate of Rise**

– ตรวจจับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว

– ทำงานเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นเกินอัตราที่กำหนด

– เหมาะสำหรับไฟที่ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว

 

  1. **ระบบ Fixed Temperature**

– ทำงานเป็น Backup System

– ตรวจจับเมื่ออุณหภูมิถึงจุดที่กำหนด

– ป้องกันกรณีไฟค่อยๆ ลุกไหม้แบบช้าๆ

 

ข้อดีของ Combination Heat Detector

  1. ความปลอดภัยสูงสุดด้วยระบบตรวจจับ 2 แบบ
  2. ลดความเสี่ยงในการตรวจจับพลาด
  3. เหมาะกับหลากหลายสถานการณ์
  4. คุ้มค่าในระยะยาวเมื่อเทียบกับการติดตั้งแยก